บ้านพราวดาว - ปล่อยใจให้ลอยล่องไปกับนิยายรักแสนหวาน

Started by Topic:    มนต์นารี เจาดอกเดหลี ตอน 1   (Read: 1495 times - Reply: 8 comments)
 
พราวดาว

Posts: 30 topics
Joined: 7/5/2554

มนต์นารี เจาดอกเดหลี ตอน 1
« Thread Started on 15/12/2554 20:50:00 IP : 115.67.113.192 »
 

นิยายเรื่องนี้กำลังดำเนินการจัดพิมพ์

 

ที่ลงให้อ่านคือฉบับก่อนรีไรต์ค่ะ

 

“เอี๊ยดดด...โครมมมม”

            สองเสียงที่ดังติดๆ กันจากส่วนท้ายรถ แถมด้วยแรงกระแทกไม่เบานักทำให้เมลียา เมลียา วิทยกุล โรเมโร่ สาวลูกครึ่งไทยสเปน ที่กำลังบรรจงวาดอายไลเนอร์ด้วยความตั้งใจขณะรถกำลังติดอยู่สี่แยกไฟแดงหนึ่งของเมืองหลวงนั้น ถึงกับสะดุ้งโหยง เพื่อหันขวับไปมองต้นเหตุผ่านกระจกหลังกลับหน้าเบ้ ออกอาการเซ็ง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนตวัดมองกระจกด้านข้าง เห็นรถประจำทางชนิดลมร้อนเสยหน้ารถด้านขวาเข้ามาชนิดเหมาะเหม็งเสียจนรับรู้ได้โดยไม่ต้องลงไปมองให้เสียเวลาว่าแผ่นเหล็กบางๆ นั่นต้องยุบเข้าไปอย่างแน่นอน  

                แถมคงจะมากเสียด้วยสิ!!

                “เฮ้อ...ซวยแต่เช้าเลย”

                ร่างเพรียวระหงบ่นอุบ พร้อมกับโยนแท่งสีเงินในมือลงบนกระเป๋าเครื่องสำอางที่เปิดอ้าไว้บนหน้าตัก จากนั้นยกมันไปยังฝั่งคนนั่ง จากนั้นเปิดประตูออกมายืนหน้าบอกบุญไม่รับกับไอร้อนจากแสงแดดตอนแปดโมงเช้า อีกทั้งไอเสียจากควันรถรายล้อมตัว

                “เอาไงพี่?”

                คำถามดังขึ้นตรงหน้า เมื่อหญิงสาวเดินอ้อมไปดูจุดเสียหาย

                “มีประกันมั้ยล่ะ”

                ชายหนุ่มร่างสูงโย่ง แต่ผอมแห้งพยักหน้าหงึกหงักให้ แล้วเดินหนีไปกดโทรศัพท์โทรออกไปยังบริษัทต้นสังกัด ปล่อยให้เธอได้มีโอกาสสำรวจบาดแผลอย่างถ้วนทั่ว ก่อนจะเงยหน้ามองไปยังหน้าต่างเรียงเป็นตับ สบตากับผู้โดยสารบางคนที่ลุกขึ้นเพื่อเปลี่ยนรถ พวกเขาเองก็คงเซ็งไม่แพ้เธอเช่นกัน

                จะทำยังไงได้ล่ะ? ในเมื่อการจราจรคับคั่งเช่นนี้ มันย่อมเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้เป็นเรื่องธรรมดา

                “พี่ๆ”

                “อะไร?”

                “เดี๋ยวประกันมา...ศูนย์เขาแจ้งว่าไม่เกิน 15 นาที”

                “อือ”

                หญิงพยักหน้าส่งๆ กำลังจะหยิบโทรศัพท์หาผู้จัดการของเธออยู่พอดีเพื่อแจ้งข่าวอุบัติเหตุ เมื่อปลายนิ้วยาวของใครบางคนสะกิดหัวไหล่ เมื่อหันไปหาก็แทบจะอ้าปากค้าง เพราะรูปลักษณ์หล่อเหลาเหมือนพระเอกหนังเกาหลีเรื่องหนึ่งที่ชายคนนั้นแสดงเป็นพระราชาในละครที่กำลังฮิตตอนนี้ เพียงแต่เขาผู้นี้มีดวงตาเรียวยาว แล้วสีผิวดูจะแทนกว่าเท่านั้น

                “ขะ...คะ?”

                “รถของผมเสียหาย”

                “รู้แล้ว...แต่ขอเคลียร์กับรถเมล์ก่อนได้มั้ย รับรองว่าไม่หนีเด็ดขาด!”

                ดวงตาสีนิลที่ก่อนหน้านี้อยู่ใต้แว่นกัดแดดเรย์แบนถึงกับเต้นระริก เมื่อเห็นเส้นสีดำบนหางตาข้างซ้ายเลอะเทอะเป็นปื้น เพราะปลายนิ้วชี้ยกปาดเหงื่อเม็ดเป้งที่ไหลผ่าน

                “แต่ผมรีบ”

                ชายหนุ่มไม่วายเร่งเร้า

                “คุณ...”

                “ทิวา”

                “ค่ะ...มีประกันมั้ย แล้วเรียกเขามารึยัง ส่วนของฉัน...เดี๋ยวก็คงมา”

                เมลียาต่อสายโทรศัพท์ออกหาศูนย์บริการประกันทันที่ที่พูดจบ แถมหันหลังให้ทิวาด้วยท่าทางไม่ใส่ใจเขาสักนิด ทว่าที่ไหนได้เจ้าตัวกลับยิ้มแก้มแทบปริ อยากจะกรีดร้องให้ดังก้อง เมื่อได้พบเจอกับบุรุษในสเป็ค หากทำได้แค่บังคับใจไม่ให้สั่นรัว จนสนทนากับปลายสายผิดๆ ถูกๆ ต่างหากเล่า

                เมื่อเสร็จสิ้นจากประกันภัย ก็ไม่วายโทรไปหาพรรษชล เพื่อนสาวที่เป็นแพทย์อยู่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งแถวสถานีรถไฟฟ้าศาลาแดง เพื่อเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่นานพอควรจึงหันกลับมาหาพ่อเทพบุตรของเธอ แต่ว่ากลับกลายเป็นชายร่างท้วมในชุดสีน้ำเงินยืนถือกล้องถ่ายรูปอยู่เบื้องหน้า ไร้เงาของเขาคนนั้นที่หายไปไหนก็ไม่รู้ได้ ดังนั้นได้แต่ชะเง้อคอมองหาเขา ทั้งที่วุ่นวายอยู่กับการจัดการในฐานะที่เป็นผู้เสียหายกับรถเมล์จนเรียบร้อย ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา

                “คุณเมลียาเชิญทางนี้หน่อยครับ”

                “ทำไมคะ?”

                เมื่อได้เห็นตัวแทนประกันของทิวาซึ่งบังเอิญเป็นตัวแทนบริษัทเดียวกันกับเธอเรียกพลางชี้ไปที่จุดเกิดเหตุ จึงวางสายจากเจ้านายซึ่งเธอตัดสินใจโทรศัพท์หาอีกครั้งแจ้งว่าเช้านี้เธอคงจะเข้าสำนักงานสายกว่าเคยนั้น รีบเดินไปยังจุดนั้น ก็ได้เห็นบังโคลนหน้าของตัวเองยุบเข้าไปเล็กน้อย ทว่าท้ายรถของคู่กรณีที่สองกลับไม่เป็นอะไรมาก จึงเห็นด้วยกับร่างท้วมที่ว่าให้เข้าซ่อมที่ศูนย์เดียวกันเสียเลย

                “ถ้าอย่างนั้นก็เรียบร้อย เชิญเซ็นต์เอกสารตรงนี้ครับ”

                “แล้ว...”

                “มีปัญหาสงสัยตรงไหนรึเปล่าครับ”

                เมลียาพยักหน้า พลางถามหาทิวาซึ่งเดินข้ามฟากถนนมาพร้อมกับถุงหิ้วบรรจุน้ำเย็น และน้ำผลไม้กล่องติดมือมาด้วย ร่างสูงใหญ่นี้หยุดยืนตรงหน้าพร้อมกับยื่นให้เธอ ซึ่งทำหน้างงๆ ไม่ยอมรับเสียทีจนเขาตัดสินใจหยิบออกมาเปิดฝา เสียบหลอดให้แล้วยื่นมาให้อีกครั้ง ส่วนที่เหลือก็มีน้ำใจเผื่อแผ่ให้กับตัวแทนประกันอีกต่างหาก

                “ผมว่าอากาศมันชักจะร้อนแล้ว”

                “อ๋อ...ค่ะ ขอบคุณมาก”

                “ถ้าดื่มเสร็จแล้ว คุณก็เช็ดหน้าเช็ดตาสักหน่อยนะ”

                ผ้าเย็นที่นอนนิ่งใต้ถุงคือสิ่งที่เขาบอก ขณะก้มตัวเซ็นต์เอกสารที่วางบนฝากระโปรงรถบ้าง ร่างใหญ่แอบอมยิ้มกับใบหน้าเด๋อด๋าของร่างเพรียงระหงที่เรียกได้ว่าใบหน้าสวยคมด้วยมีเชื้อสายของชาวยุโรปใต้ปะปนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคิ้วเข้มกันเป็นแนวเรียว รับกับดวงตากลมล้อมกรอบด้วยแพขนตายาว จมูกโด่งเชิดดูน่ารักน่าหยิก แต่เครื่องหน้าที่น่ามองคงจะเป็นเรียวปากบางระเรื่อเคลือบด้วยลิปกลอสสีหวานฉ่ำ

                จนทิวาเห็นแล้วอยากจะจูบขึ้นมาตงิดๆ แต่แล้วกลับต้องกระแอมเรียกสติตัวเอง ทำให้เมลียาซึ่งจิบน้ำเย็นต้องเงยขึ้นมองอีกฝ่ายที่อยู่ๆ ก็กระแอมขึ้นมาติดกันหลายครั้งด้วยความแปลกใจ ทว่าชายหนุ่มกลับทำเมินหน้าหนีไปสนใจรอยขีดข่วนตรงท้ายรถเขาเสียกระนั้น 

                “โหย!...อีตาบ้า! ทำเป็นหยิ่ง...เชอะ!”

                “คุณว่าอะไรนะ?”

                หญิงสาวถึงกับสะดุ้ง ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะมีเรดาร์หูที่กว้างขนาดนี้ ขณะที่กำลังโบกมือให้กับตัวแทนประกันที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วในเวลาไม่นาน คงเพราะทุกฝ่ายต่างมีประกันแล้วก็เกิดเหตุในจุดจราจรคับคั่งภายใต้ซึ่งจัดว่ายังอยู่ในช่วงเวลาเร่งด่วนนั่นเอง

                “ไม่นี่”

                “แต่ทำไมผมได้ยินแว่วๆ ว่าผมหยิ่ง”

                ถ้อยคำดูเหมือนจะเปรยกมากกว่ากล่าวหา ทว่าเพราะรอยยิ้มนิดๆ นั่นต่างหาก เป็นผลให้หน้าขาวนวลถึงกับสุกปลั่งเมื่อทำตัวเป็นเด็กเลี้ยงแกะ ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องสนใจก็ได้ เพราะเมืองใหญ่คนอาศัยอยู่หลายล้านคนนั้น โอกาสที่จะหวนคืนมาเจอกันมันยากเหลือเกิน

                ยกเว้น! พระพรหมจะลิขิตหรือสวรรค์จะบันดาลก็เท่านั้น

                “แน่ใจเหรอคะ?”

                “ใช่”

ชายหนุ่มย้ำชัด จากนั้นแบมือมาตรงหน้าเธอพร้อมกับเอ่ยขอนามบัตร เท่านั้นไม่พอเวลาเดียวกันเขายังยกโทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟนขึ้นมาถ่ายรูปหญิงสาวที่ดูเหมือนจะง้ำนิดๆ เพราะโดนจับได้ ทว่าร่างสูงใหญ่กลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เมื่อเธอตวัดค้อนกระแทกใส่ 

“คุณทิวา!”

“ครับ”

“นี่คุณจะถ่ายรูปฉันทำไม?”

“เป็นหลักฐานว่าครั้งหนึ่งเคยเกิดอุบัติเหตุกับคนสวยๆ อ้อ...ที่โทรเข้านั่นเบอร์ผม แล้วนี่ก็นามบัตรอู่ซ่อมรถในเครือประกัน ผมรับรองได้ว่าเขาทำงานได้เนี๊ยบพอตัว”

                เบอร์ที่ปรากฏบนหน้าจอถูกเมลียามองราวกับไม่ใส่ใจนักจนคนให้ชักจะใจแป้ว

                “จะไปเลยรึเปล่า”

                “คะ?”

                ร่างเพรียวบางที่แสร้งก้มหน้าอ่านชื่ออู่ แล้วก็ที่อยู่ซึ่งมีแผนที่เล็กๆ อยู่บริเวณด้านหลังเงยหน้าขึ้นมองคนถาม

                “ผมถามว่าคุณจะเอารถไปซ่อมเลยมั้ย...สองแผลหน้าหลัง คงใช้เวลาเป็นอาทิตย์”

                “เอ่อ...”

                ทิวายืนลุ้นคำตอบ ทว่ากลับผิดหวังเมื่ออีกฝ่ายส่ายหน้าปฏิเสธ

                “วันจันทร์แบบนี้น่าจะเอาเข้าอู่เลย อู่นี้รถเขาเยอะพอควร แต่พอดีผมรู้จักเจ้าของ จะช่วยเร่งให้...พอวันศุกร์บ่ายๆ คุณก็ไปรับรถได้”

                “ฉัน...”

                “แสดงว่าคุณไม่สะดวก งั้นไม่เป็นไร...ว่างเมื่อไหร่ก็ไปจัดการแล้วกัน แต่พอไปถึงแล้วอย่าลืมถามหาช่างเปี๊ยกล่ะ แล้วก็บอกแกว่าคุณทิวให้มาหา”

                “เดี๋ยวค่ะ”

                เมลียารีบท้วงเมื่อชายหนุ่มทำท่าจะหันหลังกลับ

                “ว่า?”

                “ขอบคุณนะคะ...ที่แนะนำ”

                รอยยิ้มน่ามองแต้มบนใบหน้าคมคาย เมื่อได้ยินน้ำเสียงอ่อนลง แถมหวานหูขึ้นมาอีกนิด

                “ไม่เป็นไร”

                “งั้นฉันลานะ...บายๆ”

                “ครับ...แล้วถ้าคุณไม่สะดวกอะไร ก็โทรหาผมแล้วกัน”

                ร่างสูงใหญ่ไม่ต่อความให้ยาวนาน เพราะตอนนี้ทุกอย่างก็เรียบร้อยจะประวิงเวลาก็ใช่ที่ ดังนั้นเจ้าของแผ่นหลังกว้างจึงยกมือใหญ่แตะปลายคิ้วเข้มเป็นเชิงลา จากนั้นหันหลังเดินลิ่วไปขึ้นรถ แล้วสตาร์ทออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อให้วิ่งผ่านสี่แยกที่ไฟจราจรยังเขียวอยู่

                “คุณ-ทิ-วา”

                ร่างเพรียวระหงที่ยังคงสงวนท่าที ทวนชื่อของคนที่จากไปช้าและชัด ก่อนจะกรีดร้องตะโกนออกมาด้วยความดีอกดีใจพร้อมกับซอยเท้าถี่ยิบ แถมทำหน้าตาบ๊องแบ๊วน่ารักจนลืมว่าไม่ใช่เด็กสาววัยรุ่นกระเตาะแล้ว แถมยังไม่สนใจหรอกว่าใครต่อใครที่รายล้อมตัวจะหาว่าบ้าก็ตาม

                ก็มันเพิ่งได้เจอคนถูกใจในสเป็กนี่นา ทั้งสูงใหญ่ ใบหน้าคมเข้ม ดวงตาที่แม้จะดุดัน แต่เจือความคมหวานไว้ไม่น้อย และถ้ามองไม่ผิดก็มีแววขี้เล่นนิดๆ ติดอยู่ด้วย แต่ที่ชื่นชอบมากคงเป็นกายกำยำผิวออกสีแทนสวยเหมือนกับคนทำงานสมบุกสมบันในที่กลางแจ้ง 

                ไม่เหมือนเธอที่ผิวขาวซีดจนเห็นเส้นเลือดชัดเจน แม้จะยังดีที่นวลเนียน ทว่าในความคิดมันไม่น่าประทับใจใครแม้แต่นิดเดียวอย่างแน่นอน!

                “เฮ้อ...ถึงจะซวยแต่ก็คุ้มเนอะ”

                เมลียายิ้มแป้นเมื่อเข้าไปนั่งในรถเรียบร้อยแล้ว จึงเลื่อนมือไปกดปุ่มไฟฉุกเฉินให้หยุดทำงาน จากนั้นขยับช่องแอร์ให้ลมเย็นฉ่ำกระทบกับใบหน้า แล้วเลื่อนมาเข้าเกียร์เพื่อออกรถไปด้วยหัวใจเป็นสุข แม้ว่าจะก่อนหน้าจะรู้สึกแย่ก็ตามที ถ้าเป็นเวลาปรกติคงจะได้ตีหน้ายักษ์ใส่ไอ้หนุ่มขับรถเมล์ให้พูดไม่ออกเลยทีเดียว  

                “หลีเจอผู้ชายในฝันแล้วนะแม่”

                หญิงสาวพูดยิ้มๆ

                “แล้วก็ขอโทรหาหมอตุ๋น...เมาส์ให้เพื่อนฟังหน่อยนะคะ”

                สิ้นคำพูดพร้อมกับจับจ้องที่บังแดดซึ่งมีรูปของมารดาเสียบไว้ จึงจัดการต่อโทรศัพท์หาเพื่อนรักอีกครั้งอย่างทันท่วงที ทว่าต้องหน้ามุ่ย เมื่อไม่มีการตอบรับจากหมายเลขที่เรียกไป

                “งั้นเอาไงดีหว่า ติ๊กต๊อกๆๆ”

                ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดไตร่ตรองสองทางเลือกที่จะเอารถเข้าอู่ตามนามบัตรเลยหรือว่ารอให้ถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ก่อน ทว่ากลับมีเสียงเรียกเข้าฉุดความสนใจขึ้นมาเสียก่อน จึงรีบรับอย่างรวดเร็ว

                “สวัสดีค่ะ”

                ปลายสายเงียบไปชั่วครู่

                “ทิวานะครับ”

                ถ้อยคำแนะนำตัวได้ยินชัดเจนจากบลูทูธติดหู กระตุ้นให้ใจสั่นรัวได้ไม่ยากเย็น

                “เอ่อ...เมลียาค่ะ”

                “รู้ครับ”

                “มีอะไรรึเปล่าคะ...หรือว่าธุระของคุณยังไม่เรียบร้อย”

                “มั้ง”

                คำตอบสั้นๆ ที่ได้ยิน ส่งผลให้หญิงสาวซึ่งบัดนี้ตัดสินใจเบนหัวรถมุ่งหน้าไปยังอู่ ที่อยู่ปรากฏตามนามบัตร อยู่บริเวณสะพานพระรามเก้าฝั่งพระนคร พอเสร็จธุระคงจะแวบไปหาได้หลังจากโทรลางานช่วงเช้าน่าจะดีกว่าเตร็ดเตร่ตามห้างให้เผลอเรอควักเงินซื้อของแบบไร้สาระเป็นแน่นั้น ถึงกับขมวดคิ้วเรียวสงสัย

                “แล้วมีอะไรล่ะคะ?”

                “ผมจะชวนไปอู่รถด้วยกัน...จะได้ช่วยคุยกับช่างให้”

                “เอ่อ...”

                “คุณคงไม่สะดวกเท่าไหร่ งั้นก็ไม่เป็นไร”

                ทิวาซึ่งตั้งใจขับรถไปหาเพื่อนซึ่งเป็นผู้จัดการโบรกเกอร์แห่งหนึ่ง ถึงกับแอบทำหน้าเซ็งเมื่อเมลียาไม่มีท่าทีตอบสนองต่อเขาสักเท่าไหร่

                “ค่ะ”

                “ผมไม่รบกวนคุณแล้ว อ้อ! เดี๋ยวก่อน...ผมลืมบอกคุณไปอย่างว่าคราวต่อไปจอดรถอย่าลืมดึงเบรกมือ เผื่ออุบัติเหตุไม่คาดคิด แต่ที่สำคัญกว่าก็ไอ้หน้าตานั่นน่ะ...ไม่ต้องไปแต่งมากนักหรอก เพราะยังไงคุณก็สวยอยู่แล้ว”

                “.........”

                เมลียาเงียบ ไร้คำโต้ตอบ เพราะไม่คิดว่าชายหนุ่มจะกล้าเอ่ยปากพูดทีเล่นทีจริงแบบนี้ และนั่นดูเหมือนเป็นการปิดโอกาสสานต่อความสัมพันธ์กับหนุ่มที่ตัวเองถูกใจโดยไม่รู้ตัว

                “เอ่อ...คุณคงยุ่ง งั้นบายนะครับ”

                “อ่ะ...เดี๋ยวค่ะ”

                หากต้องสิ้นหวัง เมื่อคนโทรมาวางสายไปเสียดื้อๆ

                “คุณทิวา...หวังว่าเราคงจะได้เจอกันอีกนะ ถึงเวลานั้น...ฉันจะมีสติสตังคุยกับคุณให้รู้เรื่องมากกว่านี้”

                หญิงสาวแค่ฝากความหวังไปกับอนาคตที่ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ ด้วยหัวใจเปี่ยมสุข ก่อนจะอุทานลั่นด้วยความตกใจ เมื่อเหลือบตาขึ้นยังกระจกมองหลังก็ได้เห็นว่าอายไลเนอร์ที่วาดไว้นั้น เยิ้มเป็นรอยยึกยือรอบดวงตา ดูน่าเกลียดไม่น้อยจนเธอถึงกับอยากจะร้องให้โฮขึ้นมาทันใด

                นี่คงจะน่าเกลียดพิลึก ไม่อย่างนั้นชายหนุ่มคงไม่กล้าโทรมาแซวเธอเป็นแน่!

+++++

                อากาศเย็นฉ่ำประทะเข้ากับใบหน้าของเมลียาที่ตัดสินใจเอารถเข้าอู่เพื่อซ่อมเพราะหากทอดเวลาออกไปอีก ก็ไม่รู้ว่าจะว่างวันไหนและเวลาใด อีกทั้งลองทำตามคำแนะนำของทิวาสักหน่อย เพื่อดูว่าที่เขาพูดมันจะเชื่อถือได้หรือไม่ และแล้วจึงรู้แล้วว่าไม่ผิดหวังจริงๆ ที่คิดเช่นนั้น

                “เดหลี”

                “อะไรคะเฮีย”

                หญิงสาวรีบขานรับ เมื่อได้ยินเสียงทุ้มของชายหนุ่มสวมแว่นชื่อว่ากรณ์ ซึ่งเงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์ แสดงผลราคาหุ้นในตลาดช่วงภาคเช้า วันนี้ดูเงียบเหงาเพราะตลาดหุ้นทั่วโลกแดงยกแผงด้วยปัญหาเศรษฐกิจจากประเทศหนึ่งในแถบยุโรปที่กำลังจะเริ่มส่อเค้าวิกฤติขึ้นในไม่ช้านี้

                “เป็นไงมั่ง”

                “รถน่ะเหรอคะ”

                “ใช่”

                “ก็สองแผลทั้งหน้าหลังรถเลยอ่ะ...สาหัสไม่ต่างกัน แต่พอเอาเข้าอู่ที่คู่กรณีเขาแนะนำก็โอเคน่ะคะ ใหญ่โต...เห็นมีรถเข้าซ่อมหลายสิบคัน แล้วก็อยู่แถวสาธุฯ นี่เอง ไม่ไกลจากออฟฟิศ...เดหลีแวบไปดูงานซ่อมได้สบาๆ ค่ะ”

                “ชื่ออู่อะไร”

                ร่างเพรียวบางซึ่งทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ทำงานของตัวเอง หยิบนามบัตรจากกระเป๋าส่งให้กรณ์ที่รับไปพลิกดูคร่าวๆ ก่อนจะส่งคืนให้ 

                “ชื่อวีแคร์การาจค่ะ”

                “อ้อ...เฮียเคยเอารถเข้าทำสีมาแล้วเมื่อสองเดือนก่อน ฝีมือช่างระดับใช้ได้เลยล่ะ”

                “ได้ยินอย่างนี้ก็ค่อยยังชั่วหน่อย เพราะน้องชมพูของหลีจะได้ไม่โทรมก่อนวัยอันควร”

                คนฟังหัวเราะเบาๆ

                “สบายใจได้น่า”

                “แต่ไม่รู้ว่าอาทิตย์นึงจะเสร็จรึเปล่านะคะ ช่วงนี้เดหลีต้องย่ำต๊อกออกจากหมู่บ้าน ต่อแท็กซี่ แล้วก็รถไฟฟ้าข้ามเจ้าพระยาสักพัก แล้วก็พอรถซ่อมเสร็จจะเอามันไปรดน้ำมนต์หน่อยก็คงดี เพราะว่าเดือนก่อนก็น๊อกกลางถนนทีนึงละ เดือนนี้โดนซ้ำไปอีกสองแผล”

                หญิงสาวพูดยืดยาว

                “งั้นก็น่าจะให้อู่เขาเช็คสภาพรถไปพร้อมกันทีเดียวดีกว่ามั้ย”

                “เรียบร้อยแล้วค่า”

                คนตอบเสียงใส ยิ้มกริ่มด้วยความถูกอกถูกใจ ก็เพราะสาเหตุที่ว่าเมื่อไปถึงอู่แล้ว ก็มีช่างใหญ่มารับรถด้วยตัวเอง แม้ว่าตอนนั้นจะยังรู้สึกงงงวยอยู่ก็ตาม และเท่านั้นไม่พอยังออกปากให้ฟังอีกด้วยว่าคู่กรณีที่เธอไปทำรถของเขาเสียหายโทรมาฝากฝังให้ดำเนินการอย่างที่หนุ่มรุ่นพี่พูดมาเสียอีกด้วย

                “ดีแล้ว”

                “เอ...ว่าแต่เฮียสมพงษ์มีอะไรกับเดหลีรึเปล่าคะ ถึงได้โทรตามอ่ะ”

                กรณ์ยักไหล่ไม่รู้ ขณะที่ก้มหน้าเคาะหุ้นให้กับลูกค้ารายหนึ่ง

                “เดี๋ยวก็คงรู้เนอะ คงไม่ใช่เรื่องที่จะให้ดูแลลูกค้ารายใหม่ที่เป็นเพื่อนแกหรอกนะ เพราะเห็นว่ายังไม่กลับจากดูงานที่ต่างประเทศเลยนี่คะ”

                “อืม”

                “แล้วเรื่องที่คุณวิกรมจะมาแนะนำหุ้นเด็ดให้กับลูกค้าล่ะคะ ตกลงเจ้านายแกเอาวันไหน เดหลีจะได้นัดลูกค้าที่เค้าอยากฟังล่วงหน้าก่อนเลย”

                “วันศุกร์หน้าถึงคิวสาขาเรา...ช่วงบ่ายโมงหลังจากเลี้ยงอาหารลูกค้าอิ่มหมีพีมันแล้ว”

                เมลียาพยักหน้า ก่อนจะหันมาสนใจหน้าจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้า พร้อมกับลงมือทำงานอย่างเต็มที่ในช่วงเวลาอีกเพียงครึ่งชั่วโมงก่อนจะปิดตลาดในเวลาเที่ยงครึ่งของวัน โดยที่มิได้สังเกตว่ามีร่างสูงใหญ่ของคู่กรณีซึ่งบัดนี้ยืนชิดผนังกระจก แล้วเอามือเกี่ยวมูลี่ลงเล็กน้อยเพื่อจะได้มองเห็นร่างเพรียวบางที่ตั้งอกตั้งใจทำงานอยู่สักพัก ก่อนจะละความสนใจเมื่อได้ยินเสียงทักขึ้นจากด้านหลัง

                “ว่าไงไอ้ทิว...มองตาเป็นมันเลยนะมึง”

                “ลูกน้องมึงน่ารักนี่หว่า”

                สมพงษ์หัวเราะถูกใจ ก่อนจะกระแทกตัวนั่งลงบนเก้าอี้ทำงาน ขณะเดียวกันก็พลิกเอกสารซึ่งวางอยู่ตรงหน้าคร่าวๆ เพื่อจะให้เพื่อนรักสมัยเรียนมัธยมด้วยกัน

                “ถึงว่า...ไม่งั้นมึงคงไม่ย้ายโบรกตามกูมาหรอกใช่มั้ย”

                “หึหึ”

                ทิวาหัวเราะในลำคอเบาๆ หากแท้จริงก็คือว่าชายหนุ่มเป็นลูกค้าของโบรกเกอร์เดิมที่สมพงษ์ทำงานอยู่มากว่าสามปีแล้ว และเมื่อเพื่อนสนิทย้ายมาทำงานที่บริษัทใหม่จึงได้ชักชวนให้มาเป็นสมาชิกด้วย โดยแนะนำว่าพอร์ตการลงทุนเดิมที่มีอยู่ก็ให้ปรับเปลี่ยนเป็นลงทุนในหุ้นที่มีมาร็เก็ตแค๊ปสูง เช่นหุ้นบริษัทน้ำมัน ซึ่งสามารถถือยาวได้เป็นปีไปเลย

                “ตกลงกูให้น้องเดหลีดูแลมึงนะทิว...เอ้านี่เอกสารเอกสารทั้งหมดเซ็นต์ซะ”

                “พงษ์”

                “อะไร”

                “ขอเลขสมาชิกสวยๆ ได้มั้ยวะ แล้วกูจะเปิดใช้บริการเทรดหุ้นทางเน็ตด้วยเลย เอาไว้คอยเช็คหุ้นตอนเลิกงานสักหน่อย จะได้ไม่ตกข่าว”

                เพื่อนรักพยักหน้ากับคำขอร้อง

                “และที่สำคัญ...เย็นนี้มึงโทรรายงานตัวกับเมียกับลูกก่อนเลยว่ามีนัดกินข้าวกับกูแล้วก็ไอ้โต รายนั้นกูนัดมันแล้วที่ร้านเดิม ส่วนไอ้ใหญ่ กว่ามันจะถ่อมาจากตลิ่งชันก็คงสักสองทุ่มมั้ง คืนนี้ให้มันค้างที่คอนโดกูเลย”

                “ไม่มีปัญหา เพราะกูกำลังอยากดื่มอยู่พอดี”

                ทิวาพยักหน้ารับ พลางเลื่อนเอกสารทั้งหมดสำหรับเปิดบัญชีสมาชิกให้แก่เพื่อนเพื่อตรวจดูรายละเอียด เมื่อเห็นว่าครบถ้วนแล้วสมพงษ์จึงส่งเอกสารให้กับเจาหน้าที่ธุรการสาว เพื่อดำเนินการในรายละเอียดต่อไป ส่วนทิวาเองก็ยกกาแฟขึ้นจิบตบท้ายก่อนจะลาไปทำธุระต่อให้เสร็จสิ้น ก่อนจะวกกลับมาเจอกลุ่มก๊วนเพื่อนอีกครั้ง

                “ทิว”

                “ว่า”

                คนถูกตามตอบสั้นเหลือเกิน

                “ถามจริงมึงคิดจะหลอกลูกน้องกูเล่นๆ รึเปล่า”

                “ทำไมถึงคิดแบบนั้น”

                สมพงษ์มองเพื่อนนิ่งๆ แม้จะรู้ดีว่าทิวา ตอนนี้นั้นยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน ปล่อยตัวเป็นพ่อพวงมาลัยลอยไปลอยมาหลังจากเลิกกับแฟนคนล่าสุด จะต่างกันกับเพื่อนอีกคนที่ชื่อเตโช รายนั้นทำตัวเจ้าชู้ ไม่เคยขาดผู้หญิง มันนั่งยันนอนยันว่าไม่นานนี้ให้เตรียมตัดชุดได้เลย ไม่นานจะร่อนการ์ดเชิญร่วมงานแต่งกับผู้หญิงที่มันรักมานมนานแล้ว

                “เป็นห่วงน้องเขา”

                “แสดงว่าคนอย่างกูเหี้...ยมากรึไง บอกก่อนกูไม่ใช่ไอ้โตนะโว้ย ที่จะได้เปลี่ยนผู้หญิงเป็นว่าเล่นเหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้า”

                “ไม่รู้สิ”

                “กูเห็นครั้งแรกก็ชอบเลยว่ะ ยังเคยนึกเลยว่าสวยๆ แบบนี้ สงสัยจะไม่ว่างซะแล้ว”

                ทิวาหัวเราะเบาๆ เมื่อนึกย้อนไปเมื่อสองเดือนก่อน ซึ่งเขามาพบกับเพื่อนรัก ณ ที่แห่งนี้ แล้วบังเอิญได้เห็นสาวน้อยหน้าแฉล้มอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เธอวุ่นวายอยู่กับงานจนไม่มีโอกาสได้เห็นผู้ชายคนหนึ่งแอบมองไม่วางตา

                “มึงก็ลองจีบน้องเขาดูแล้วกัน ส่วนไอ้เรื่องแฟน...กูไม่รู้นะว่าเขามีรึเปล่า บังเอิญไม่ได้ยุ่งเรื่องส่วนตัวของลูกน้องสักเท่าไหร่โว้ย”

                “อือ”

                “ไอ้เสือเพื่อนรัก...ตลาดจะปิดแล้ว เดี๋ยวเราไปกินข้าวกลางวันกันก่อนดีกว่า นานๆ เจอกันที แล้วค่อยแยกย้าย เอ...ว่าแต่กูจะชวนเดหลีไปกินข้าวด้วยกันดีมั้ย เผื่อจะได้คุยกันทีเดียวเลย”

                หากคำเสนอนี้ ถูกทิวาปฏิเสธ

                “ทำไมล่ะ”

                “กูจะเอารถไปเข้าอู่ก่อน ขืนทิ้งไว้จะขี้เกียจ อีกอย่างจะเยี่ยมเฮียวิทย์กับเจ๊ปรางด้วย ไม่ได้เจอกันนานเป็นเดือนแล้วมั้ง”

                “ไม่ใช่ว่าแอบไปสั่งงานให้ช่างเปี๊ยกเร่งซ่อมรถเดหลีนะโว้ย เดี๋ยวลูกค้าคนอื่นรู้โวยตายเลยว่าสองมาตรฐาน”

                สมพงษ์แซวเพื่อนรักที่ขยับตัวลุกขึ้น แล้วโบกมือเพื่อจะอำลา

                “กูเป็นน้องเฮียวิทย์ แกคงไม่ว่าหรอกมั้งถ้าจะลัดคิวให้น้องชายนิดๆ หน่อยๆ”

                “เออ! มึงชอบทำอู่เฮียมึงเสียระบบอยู่เรื่อย ก็เพราะผู้หญิงทุกที สันดานแก้ไม่หาย...น้องครับ คุณครับ...ทำไมไม่ลองเอารถเข้าอู่ตามนามบัตรนี่ดูล่ะครับ ฝีมือใช้ได้เลยล่ะ...ซ่อมเร็ว...ฝีมือดี รับรองไม่ผิดหวัง หรือจะไปพร้อมผมเลยมั้ย จะได้ช่วยคุยให้ด้วยเลย”

                “ไอ้เวร...กูไม่เคย ไอ้ที่ทำไปก็เพื่อกิจการของครอบครัวเท่านั้นแหละ”

                ทิวาเถียงหน้าบึ้งใส่

                “โกหกไม่เก่งเลยว่ะเพื่อน...แต่ก็เอาเหอะ หวังว่ามุขนี้คงใช้เป็นครั้งสุดท้ายนะโว้ย”

                “บอกว่าไม่เคยไง”

                “อย่ามาฟอร์ม! จะว่าไปกูขอร้องอย่างหนึ่ง มึงอย่าทำให้ลูกน้องของกูน้ำตาตก วันนั้นมึงตายแน่ไอ้ทิว!”

                “ไม่ต้องมาขู่น่า ไปแล้ว...เจอกันตอนเย็น”

                คนที่เป็นทั้งแขกส่วนตัว พ่วงตำแหน่งลูกค้ารายหมาดๆ ตัดบท พร้อมกับเดินลิ่วออกจากห้องโดยไม่ให้เพื่อนไปส่ง และแล้วขณะที่กำลังจะก้าวออกจากประตูห้องทำงานกลับต้องชะงักเมื่อคนที่อยู่ในหัวข้อสนทนากำลังเดินผ่านไป น่าเสียดายที่เธอมัวแต่เร่งรีบจะไปยังห้องน้ำ จนไม่ได้สังเกตว่าใครบางคนมองตามแผ่นหลังไปไม่วางตา ก่อนจะลับร่างหายไปจากโบรกเกอร์แห่งนี้

 
Link to Post    -Back to Top

Bookmark and Share

ความคิดเห็นเกี่ยวกับ: มนต์นารี เจาดอกเดหลี ตอน 1
จำนวนข้อความทั้งหมด:  1
1
แสดงความคิดเห็น
sirawan

Posts: 0 topics
Joined: 20/8/2554

ความคิดเห็นที่ 1   « on 16/12/2554 11:34:00 IP : 125.25.192.106 »
Re: มนต์นารี เจาดอกเดหลี ตอน 1
 

น่าสนใจคะ

 
Link to Post    -Back to Top

Bookmark and Share
 
1
Reply topic :: แสดงความคิดเห็น
ชื่อผู้โพสต์:  เช่น John
ภาพไอคอน:    icon
แปะรูป:  
รายละเอียด:
Emotion:




Security Code:       Verify Code  
     Bookmark and Share
Advertising Zone    Close
 
Online:  1
Visits:  64,249
Today:  13
PageView/Month:  37

ยังไม่ได้ลงทะเบียน

เว็บไซต์นี้ยังไม่ได้ลงทะเบียนยืนยันการเป็นเจ้าของเว็บไซต์กับ Siam2Web.com